: รักเรา..ไม่มีวันตาย ( ในแบบพิเชษฐ )



       บทความข้างล่างนี้ผมเขียนไปประกวด ในละครเรื่อง"รักเรา..ไม่มีวันตาย"ทางช่อง 3 อยากให้ทุกคนรู้เรื่องราวของผม ซึ้งเป็นเรื่องจริงที่เกิดกับผมครับ
    ผมกับภรรยาเป็นคนจังหวัดสมุทรปราการ แต่งงานกันมา 3 ปีแล้ว 23 มีนาคม 2554นี้ ก็ครบรอบวันแต่งงาน 3 ปีของผม  อยู่กินกันได้เพียงแค่ 7 เดือนผมกับภรรยาก็มาประสบอุบัติเหตุ ขับรถจักรยานยนต์ชนกับท้ายรถพ่วง 18 ล้อ เมื่อวันที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2551 ผมได้รับบาดเจ็บ กระดูกสันหลังข้อที่ 5 แตกละเอียด ใส่เหล็กที่ต้นคอ ประสาทการรับรู้ตั้งแต่หน้าอกลงมาจนถึงปลายเท้าเสียหายหมด มือซ้ายขวากำแบไม่ได้ ระบบขับถ่ายควบคุมไม่ได้ ขยับตัวไม่ได้เลย

ส่วนภรรยาผมเลือดคลั่งในสมองและได้รับการผ่าตัดด่วน หมอบอกว่าสมองอาจไม่ปกติเหมือนเดิม แต่ปาฏิหาริย์ มีจริงครับ เธอฟื้นมาปกติแต่หูข้างซ้ายของเธอสูญเสียการได้ยินถาวร ผมกับเธอกลับมาพักฟื้นที่บ้าน จนอาการของเธอหายเป็นปรกติและได้ดูแลผมเรื่อยมา

มีอยู่วันหนึ่งผมติดเชื้อในกระเพาะปัสสาวะ และได้รับการรักษาในโรงพยาบาลแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการ และเจอพยาบาลคนหนึ่ง แนะนำให้ผมไปรักษาที่โรงพยาบาลจุฬาฯ ภรรยาผมก็พาไปหลังจากอาการติดเชื้อดีขึ้นแล้ว หมอที่นั้นได้ส่งตัวผมมาทำกายภาพบำบัดที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูสภากาชาดไทย สวางคนิวาส ศูนย์นี้อยู่ในตัวจังหวัดสมุทรปราการใกล้บ้านผมกับภรรยาพอดีเลย และผมได้ทำกายภาพบำบัดอยู่ 4 เดือน ก่อนออกจากที่นั้นเขาสอนให้ภรรยาผม รู้จักวิธีการกายภาพและวิธีเคลื่อนย้ายผู้ป่วยอย่างถูกวิธี ตลอดปี 2552 เธอดูแลผมอยู่ที่บ้านอย่างดีมาตลอด

และวันที่เราสองคนดีใจมากเป็นพิเศษ มันเป็นวันมงคลอีกวันสำหรับเราวันที่ 9 เดือน 9 ปี 2009 เราสองคนไปจดทะเบียนสมรสกันที่สำนักงานเขตบางรัก แต่จำนวนคู่รักเต็มก่อน เลยไปเขตสาธรแทนด้วยความทุลักทุเล  อ่านต่อ

จนถึงปี 2553 ที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู เปิดรับสมัครผู้ช่วยเจ้าหน้าที่กายภาพบำบัด ภรรยาของผมได้มาสมัคร และทำงานที่นั้นเป็นต้นมา เราจึงได้มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆที่ทำงานด้วยกันสองคน ภารกิจของเธอเริ่มตั้งแต่ตอนเช้า เธอต้องตื่นเวลาประมาณ 05.00 น.เพื่อสวนปัสสาวะ เช็ดตัว หาข้าวหาน้ำและยาให้ผมกิน ก่อนที่เธอจะไปทำงานตอน 8 โมงเช้า ตอนเที่ยงเธอต้องกลับมาสวนปัสสาวะผมและหาข้าวให้กิน เสร็จแล้วเธอก็ไปทำงานต่อ กว่าจะเลิกงานตอนบ่าย 3โมง เธอต้องทำงานบ้าน อาบน้ำให้ผม กว่าเธอจะได้นอนก็หลังจากเที่ยงคืน เพราะต้องสวนรอบสุดท้ายของวันตอนเที่ยงคืน (ผมลืมบอกไปว่าผมต้องสวนปัสสาวะทุกๆ 4 ชั่วโมง เพราะประสาทการรับรู้ผมเสีย) เธอทำอย่างนี้เป็นกิจวัตรทุกวัน โดยไม่เคยบ่นให้ผมได้ยินสักคำ

เธอมีแต่คำพูดคอยบอกผมว่า “ถึงร่างกายของผมตายไปครึ่งหนึ่ง แต่รักของเราไม่ได้ตายจากกันเลยนะ” เธอจะบอกผมตลอดเวลา

ในช่วงวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ เธอชอบพาผมไปทำบุญที่วัด หรือไม่ก็ไปห้าง โดยเธอจะยกผมขึ้นแท็กซี่ ส่วนลึกๆในใจของผมก็อายคนที่มองมาเหมือนกันครับ ในสายตาของคนอื่นที่มองมาทางเรา เธอจะบอกผมเสมอว่า ไม่ต้องอายใครนะ เพราะเราไม่ได้ทำอะไรให้ใครเดือดร้อน คนอื่นที่แย่กว่าเรายังมีอีกเยอะ ส่วนมากเราจะไปไหนมาไหนด้วยกันสองคนตลอด ทุกวันนี้ผมไม่เสียใจเลยที่ตัดสินใจแต่งงานกับเธอ

มีหลายคนบอกว่า เธอคงอยู่กับผมไม่นานหรอก เดี๋ยวก็ทิ้งผมไป แต่เธอไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเธอจะทอดทิ้งผมเลย จนมีใครหลายคนถามผมว่าทำไมเป็นแบบนี้แล้วยังยิ้มได้อยู่ ผมตอบได้คำเดียวว่ารอยยิ้มของผมมีได้เพราะมีเธอที่คอยเป็นทั้งกำลังกาย และกำลังใจของผม ผมไม่เคยรู้สึกว่าผมขาดอะไรเลย  และผมก็ได้รู้ซึ้งถึงความรักมากมายที่เธอมีให้ผม   ทุกวันนี้ผมมีความสุขดีและเธอก็มีความสุขดีเหมือนกันที่ได้อยู่ด้วยกัน



ตราบใดที่เราสองคนยังมีลมหายใจอยู่เราจะไม่มีวันแยกจากกันนอกจากความตาย และเราสัญญากันว่า ถ้าชาติหน้ามีอยู่จริง ขอให้เรากลับมาเป็นเนื้อคู่กันอีกครั้งและผมจะขอดูแลเธอให้เหมือนกับที่เธอคอยดูแลผมอย่างดีในชาตินี้    



   


  ใครใครก็เคยเหงา
ใครใครก็เคยเศร้า เคยผิดหวัง
จงเรียนรู้เพื่อที่จะอยู่กับมัน
"แล้วไม่นาน มันจะผ่านพ้นไป" 
                                                            




ขอบคุณครับที่อ่านข้อความของผม








3 ความคิดเห็น:

  1. เยี่ยมมาก...พี่ขอแบ่งไป Facebook พี่นะให้เพื่อนๆคนพิการที่กำลังท้อแท้ได้อ่าน...

    ตอบลบ
  2. ชื่นชม และยกย่องทั้งสองคนเลยค่ะ เป็นความจริงที่พิสูจน์ว่า ความรัก ความสุข ความดี มีอยู่ที่การกระทำของเรานั่นแหละ

    ตอบลบ
  3. ปลื้มนะครับ สุดยอดทั้งสองคนครับ

    ตอบลบ