อาถรรพ์ของชำร่วย ของพิเชษฐ

เรื่องนี้มีที่มาครับ

       เมื่อปี 2553 ผมได้รู้จักกับพี่ต๋องครับ พี่ต๋องเป็นคนพิการเหมือนกับผมครับ  แต่ระดับความพิการพี่ต๋องจะไม่รุนแรงเท่ากับผมครับ  พี่เค้าส่งเรื่อง " อาถรรพ์ของชำร่วย " มาให้ผมอ่านครับ อ่านแล้วซึ้งมากครับ  เพราะเรื่องราวคล้ายๆกับผมมาก 

อาถรรพ์จากของชำร่วย. 
        

    ฉันแต่งงานได้ 5 เดือนสามีก็ประสบอุบัติเหตุเป็นอัมพาตอย่างถาวร  ตอนนั้นฉันเพิ่งอายุ 23 ปี 6เดือน สามี25ปีเบญจเพสพอดีเขาไม่สามารถนั่งโดยลำพังได้ต้องมีที่พิงหลังไม่งั้นก็จะล้มเหมือนตุ๊กตาล้มลุกแต่โชคดีที่เขาสามารถใช้แขนทั้งสองข้างได้

     ญาติๆฝ่ายฉันเองเริ่มปรึกษากันเรื่องฉันกับสามีทุกคนลงความเห็นกันว่า  ให้ฉันดูแลสามีสักระยะและให้กลับไปอยู่บ้าน  หมายถึงให้เราเลิกกันเขาเป็นห่วงฉันๆก็เข้าใจเพราะฉันอายุยังน้อยลูกก็ไม่มีแล้วจะเอาอนาคนมาฝากไว้กับเขาได้ยังไง  แต่ฉันก็ได้แต่รับฟังเข้าหูซ้ายทะลุหูขวาแต่ฉันก็ร้องไห้ทุกครั้งเพราะฉันอยากให้ญาติๆฉันเขาเข้าใจฉันบ้าง ฉันรักเขาไม่ว่าเขาจะเดินได้หรือไม่ฉันก็จะไม่ทิ้งเขาไปไหน ฉันจะคิดถึงพ่อเสมอเวลาที่ฉันต้องการคำตอบกับชีวิต.......
    
     พ่อสอนฉันให้เสียสละไม่เห็นแก่ตัว ฉันทบทวนคำสอนของพ่อเวลาที่ฉันสับสน...สามีฉันสูง178ซม.นำหนัก 65 กก.ฉันต้องอุ้มสามีขึ้นรถฯต้องยกรถเข็นหนักๆแต่ผู้เดียว ฉันต้องฝ่าฟันกับปัญหาหลายๆอย่างทั้งในฐานะลูกสะใภ้ สามีฉันเขาเป็นคนที่น่าสงสารมาก แต่เขาเป็นมีความคนอดทนสูง จิตใจเข้มแข็ง เขาพิการแต่เขากลับเป็นฝ่ายที่คอยให้กำลังใจฉัน ฉันพยายามยอมรับในสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากตะเวนรักษาสามีจนคิดว่าหมดหนทางฉันก็เริ่มทำงานซึ่งฉันกลับไปอยู่บ้านกับแม่ที่บ้านฉันเอง
  
    เริ่มแรกเป็นบัณฑิตอาสา และเป็นแม่ค้าไปด้วย ฉันตื่นตี2ไปตลาดซื้อของมาขายเป็นพวกกับข้าวที่ห้อยพ่วงข้างรถกะบะขายในหมู่บ้านพอเวลา8.30น.ฉันก็ไปทำงานตอนเย็นหลังเลิกงานก็ไปขายอีกรอบสามีนั่งรถเข็นแต่นั่งนานไม่ได้เขาพยายามช่วยฉันเท่าที่ทำได้ซักผ้าให้ฉันช่วยเอากับข้าวแพ็คถุงเขาพยายามทำทุกอย่างช่วยฉัน ถึงเขาจะพิการแต่เขาก็ไม่เคยมีอารมณ์โมโห หรือหงุดหงิดให้ฉันเห็น ฉันรักเขาเป็นห่วงเขา ฉันคิดเสมอขนาดขอทานฉันยังช่วยเหลือแล้วนี่สามีฉันฉันจะทอดทิ้งเขาได้ยังไง จะสุขจะทุกข์ยังไงฉันก็จะต้องมีเขาอยู่ด้วย

    ฉันมักจะบอกเขาเสมอถ้าฉันไม่มีเขาฉันจะอยู่ยังไงชีวิตเขามีค่ากับฉันมาก ฉันเคยพูดกับสามีว่าถ้าเราอายุมากๆไม่สามารถช่วยเหลือกันและกันได้เราจะไปพร้อมๆกัน....ฉันต้องดิ้นรนหางานทำที่มั่นคงอย่างน้อยถ้าสามีเข้าโรงพยาบาลก็สามารถเบิกค่ารักษาได้ และแล้วฉันก็ทำสำเร็จฉันสอบเข้ารับราชการได้คนที่ดีใจสุดๆเป็นสามีฉันเอง เขาบอกว่าถ้าเขาเกิดเป็นอะไรไปเขาก็หายห่วง ฉันบอกเขาว่าเราจะอยู่เป็นเพื่อนกันจนแก่เฒ่าเราเกิดมาแล้วเราต้องใช้ชีวิตที่มีอยู่ให้มีค่า ฉันหวนนึกถึงของชำร่วยตอนแต่งงานฉันเป็นคนเลือกกับสามีเองเป็นพวงกุญแจข้าวต้มมัด ...............มัดเราไว้ไม่ให้พรากจากกัน..................

   เรื่องคล้ายกับเรื่องของมากครับ  แตกต่างตรงที่ผมพิการรุนแรงกว่า  และที่สำค้ญของชำร่วยในวันแต่งงานชองผม  เป็นข้าวต้มมัดเหมือนกัน ( ผมชื่อเล่นว่า โอ๊ต ส่วนแฟนผมชื่อปุ้ยครับ )
 เรื่องราวของผม >>>





ขอบคุณครับที่อ่านข้อความของผม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น